การทำ SEO ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ติดหน้าแรก Google” แล้วจะจบ แต่มันคือการวัดผลให้รู้ว่า สิ่งที่เราทำมันมีผลกับธุรกิจจริงหรือเปล่า? คนเข้ามาเยอะขึ้นไหม อยู่ในเว็บนานขึ้นรึเปล่า ยอดขายเพิ่มขึ้นหรือยัง? และทั้งหมดนี้ก็ตอบได้ด้วยตัวเลขที่เรียกว่า SEO KPIs
หมวด 1: วัดจากคนเข้าเว็บและพฤติกรรมของเขา
1. จำนวนคนที่เข้ามาจาก Google โดยตรง (Organic Traffic)
ถ้ามีคนเข้าจาก Google เยอะ แสดงว่าเนื้อหาเราตอบโจทย์ และ Google เริ่มไว้วางใจเว็บเราแล้ว
2. อัตราการเด้งออก (Bounce Rate)
เข้ามาแล้วกดออกเลย? แบบนี้ไม่ดี เพราะอาจหมายถึงว่าเว็บช้า ไม่ตรงใจ หรือดูยาก
3. เวลาที่คนอยู่บนเว็บ (Average Time on Page)
คนอยู่ดูนาน ๆ แปลว่าเนื้อหาเราดี มีประโยชน์ หรืออย่างน้อยเขายังอยากอ่านต่อ
4. คนเข้าดูหลายหน้ามั้ย? (Pages per Session)
ถ้าเว็บดีและเชื่อมโยงกันดี คนจะไหลไปดูหลายหน้า ไม่ใช่แค่เข้าแล้วก็จบ
5. เปลี่ยนคนดูให้กลายเป็นลูกค้า (Conversion Rate)
ไม่ว่าจะเป็นการกรอกฟอร์ม สั่งของ หรือสมัครสมาชิก เป้าหมายก็คือให้เขาทำ “อะไรสักอย่าง” ที่เราต้องการ
6. หน้าไหนคนออกเยอะสุด (Top Exit Pages)
ถ้าหลายคนชอบออกจากหน้านั้น อาจมีบางอย่างผิดปกติ เช่น โหลดช้า หรือเนื้อหาไม่น่าสนใจ
7. คนเก่าหรือคนใหม่เยอะกว่ากัน? (New vs Returning Users)
ถ้ามีคนกลับมาเรื่อย ๆ แสดงว่าเว็บเรามีความน่าเชื่อถือ และเนื้อหาดีจนต้องกลับมาอีก
8. คนใช้มือถือเยอะแค่ไหน (Mobile Traffic)
ยุคนี้ใครไม่ดูเว็บผ่านมือถือบ้าง? เว็บต้องโหลดไวและดูดีในมือถือ ไม่งั้นจะเสียโอกาสมหาศาล
9. จำนวนการดูหน้าเว็บรวม (Pageviews)
ดูว่าหน้าไหนคนดูเยอะ จะได้รู้ว่าอะไรฮิต อะไรดับ
10. คนเจอเราผ่านหน้าไหนก่อน (Top Landing Pages)
เป็นจุดเริ่มต้นของผู้ใช้ ถ้าเจอจากหน้านี้เยอะ ควรลงทุนปรับให้หน้านั้นดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
หมวด 2: วัดจากคำค้นหาและอันดับบน Google
11. อันดับคำค้นที่เราเล็งไว้ (Keyword Rankings)
ใครๆ ก็อยากติดหน้าแรก แต่มันต้องรู้ว่า คำไหน ที่เราติด แล้ว ติดอันดับที่เท่าไหร่
12. มีคนเห็นแล้วคลิกมั้ย (Click-Through Rate หรือ CTR)
แค่ติดอันดับไม่พอ ถ้าไม่มีใครคลิก ก็เท่ากับศูนย์ CTR บอกว่า Title กับ Description เราดึงดูดพอไหม
13. จำนวนคลิกจาก Google (Organic Clicks)
วัดว่าเนื้อหาเราดึงคนเข้ามาจากผลการค้นหาจริงๆ มากน้อยแค่ไหน
14. จำนวนคีย์เวิร์ดที่เริ่มติดอันดับ (Keyword Growth)
ยิ่งคำที่เราติดมีมากขึ้น ก็แปลว่าเนื้อหาเราขยายและแข็งแกร่งขึ้นในสายตา Google
15. คนค้นชื่อแบรนด์หรือคำทั่วไป? (Branded vs Non-Branded)
คำแบบ “ชื่อแบรนด์เรา” กับคำทั่วไป อย่าง “ซื้อของออนไลน์” วัดได้เลยว่าแบรนด์เราดังขึ้นรึเปล่า
16. คีย์เวิร์ดที่เรายังไม่มี (Content Gaps)
ช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้เราเขียนเนื้อหาเพิ่มเติม จากคำที่ควรมีแต่ยังไม่มีในเว็บ
หมวด 3: ลิงก์ย้อนกลับและความน่าเชื่อถือ
17. จำนวนเว็บไซต์ที่ลิงก์มาหาเรา (Backlink Quantity)
ลิงก์เยอะ = เว็บเราเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
18. คุณภาพของเว็บที่ลิงก์มา (Backlink Quality)
ลิงก์จากเว็บใหญ่ๆ ดีกว่าลิงก์จากเว็บโนเนม ช่วยดันอันดับได้มากกว่าเยอะ
19. คะแนนพลังของเว็บไซต์ (Domain Authority)
ถ้าคะแนนนี้สูง โอกาสติดอันดับก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ
หมวด 4: ความเร็วและเทคนิคเบื้องหลัง
20. โหลดเว็บช้าหรือเปล่า (Page Load Speed)
ถ้าโหลดช้า คนไม่รอหรอก เด้งออกทันที แล้วอันดับก็จะตกตามมา
21. มีหน้าไหนที่ยังไม่ Index (Indexation Issues)
ถ้า Google ยังไม่เห็นหน้านั้น ก็ไม่มีวันติดอันดับ
22. เราได้พื้นที่พิเศษบน Google มั้ย (SERP Features)
เช่น ติด Featured Snippet, แผนที่, FAQ Rich Snippet บางทีไม่ต้องอยู่อันดับ 1 ก็เด่นได้
หมวด 5: วัดผลตอบแทนทางธุรกิจจริงๆ
23. มูลค่าจากคนที่เข้ามาจาก Google (Organic Conversion Value)
SEO ไม่ได้แค่คนดูเยอะ แต่มันควรทำให้รายได้เพิ่มด้วย
24. Google หรือ Bing ใครให้ทราฟฟิกเยอะกว่า (Search Engine Traffic Share)
รู้ว่าแหล่งไหนทำเงินให้เรา จะได้โฟกัสถูกที่
25. คนท้องถิ่นเจอเราง่ายไหม (Local Search Visibility)
สำหรับธุรกิจร้านค้า หรือบริการพื้นที่ ถ้าไม่โผล่ในผลการค้นหาในพื้นที่ แปลว่ายังไม่ชนะ
สรุปสั้นๆ
การดูแค่จำนวนคนเข้าเว็บมันไม่พอ ถ้าอยากรู้ว่า SEO ที่ทำอยู่มันคุ้มค่าจริงหรือเปล่า ก็ต้องดูหลายๆ มุม ทั้งพฤติกรรมคน, คำค้นหา, ลิงก์, ความเร็วเว็บ จนถึงผลลัพธ์ทางธุรกิจ
และใช่…ถ้าอยากดูว่าค่าเหล่านี้อยู่ตรงไหน ต้องใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics, Search Console, Ahrefs, Semrush และอื่น ๆ ช่วยวัดผลได้